เทศกาล ลอยกระทง พิธีที่มักจัดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันเพ็ญและเป็นเวลาที่น้ำเต็ม โดยจะมีการจัดดอกไม้ ธูป เทียน หรือวัตถุต่างๆ เป็นรูปทรงต่างๆ ที่ไม่จม เช่น กระทง เรือ แพ ดอกบัว เป็นต้น แล้วจึงลอยไปตามแม่น้ำ มีวัตถุประสงค์และความเชื่อที่แตกต่างกัน ปีนี้ลอยกระทงตรงกับวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567
เทศกาลลอยกระทงไม่ได้จัดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศจีน อินเดีย กัมพูชา ลาว และพม่า ก็มีประเพณีการลอยกระทงที่คล้ายคลึงกัน แต่จะแตกต่างกันในรายละเอียด พิธีกรรม และความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น แม้แต่ในประเทศของเรา ลอยกระทงก็มาจากความเชื่อที่หลากหลาย คณะประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้รวบรวมข้อมูลมาแจ้งให้ทราบ ดังนี้
- วิธีทำกระทงจากใบตอง สอนทำกระทงจากต้นกล้วยหรือวัสดุที่ย่อยสลายได้
- ลอยกระทงออนไลน์กับ Sanook
- 50 แคปชั่นลอยกระทงสั้นๆ ฮาๆ วิธีลอยกระทงคนเดียวให้ดูแพงและได้คู่
ลอยกระทงเป็นประเพณีโบราณ แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใด เพียงแต่แต่ละท้องถิ่นมีจุดประสงค์และความเชื่อในการลอยกระทงต่างกัน เช่น ในทางพุทธศาสนาก็เพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทบนหาดทรายริมแม่น้ำนัมมถะซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำเนรพุทธในประเทศอินเดีย หรือเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เมื่อพระองค์ไปสอนพระมารดา
วัตถุประสงค์ของ เทศกาล ลอยกระทง
นอกจากนี้การลอยกระทงยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อบูชาพระอุปคุตเถระผู้ท่องมนต์ใต้ท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล บางแห่งลอยกระทงเพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อ บางแห่งทำเพื่อแสดงความกตัญญูต่อเจ้าแม่แม่น้ำซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ในหลากหลายวิธี เช่น ขอขมาในการทิ้งขยะลงในแหล่งน้ำ บางแห่งทำเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว หรือเพื่อปัดเป่าเคราะห์ร้าย ลอยความทุกข์ความเจ็บไข้ให้หายไป และคนส่วนใหญ่ยังอธิษฐานขอสิ่งที่ปรารถนาด้วย พระยาอนุมานราชธนสันนิษฐานว่าที่มาของการลอยกระทงอาจมีมูลฐานว่าลอยกระทงเป็นประเพณีของชาวไร่ชาวนาที่ต้องพึ่งน้ำเทศกาล ลอยกระทง
เมื่อพืชผลเจริญเติบโตดีและมีน้ำเพียงพอก็จะทำกระทงแล้วลอยไปตามน้ำที่ไหลเพื่อขอบคุณเจ้าแม่แม่น้ำหรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำให้อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นในฤดูฝนจึงลอยกระทง เมื่อลอยเสร็จแล้วก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน เปรียบเสมือนการฉลองงานที่ได้ทำ เสร็จ และประสบผลสำเร็จ โดยชาวบ้านบอกว่าการลอยกระทงเป็นวิธีการขอขมา และการขอบคุณพระแม่คงคาก็คงคล้ายๆ กับสมัยโบราณที่ต่างชาติแสดงความยินดีเมื่อได้ผลผลิต
และนำผลผลิตแรกไปบูชาเทพเจ้าที่ตนบูชาเพื่อขอบคุณที่ทำให้พืชผลของตนประสบผลสำเร็จ รวมทั้งเลี้ยงผีและเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว หลังจากนั้นก็เฉลิมฉลองและเลี้ยงอาหารซึ่งกันและกัน ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความก้าวหน้ามากขึ้น ความกังวลเรื่องพืชผลไม่ติดก็ลดน้อยลง แต่ก็ยังคงบูชาเหมือนเช่นเคยจนกลายเป็นประเพณี แต่ได้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความเชื่อทางศาสนา เช่น ทำบุญเพิ่มพูนในพระพุทธศาสนา สุดท้ายส่วนใหญ่ก็เล่นสนุกกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ลอยกระทงจึงเป็นเรื่องธรรมดาในทุกชาติ และการลอยกระทงอาจเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยาที่มนุษย์ทั่วไปมักโยนสิ่งของลงในน้ำเพื่อให้มันลอยไป
ทำไมกระทงส่วนใหญ่เป็นรูปดอกบัว
ในหนังสือพระศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำนานนางนพมาศ ซึ่งเป็นพระมเหสีเอกของพระมหาธรรมราชาลิไทหรือพระร่วงแห่งสุโขทัย ได้กล่าวไว้ว่า วันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นวันพระราชพิธีแห่พระบาทตามพระราชพิธีในตอนกลางคืน พระองค์รับสั่งให้พระสนมทั้งหมดตกแต่งกระทงด้วยดอกไม้ธูปเทียนแล้วลอยน้ำหน้าพระที่นั่ง ในสมัยนั้นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือ นางนพมาศ ก็ได้ประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวขึ้นด้วย
เพราะเห็นว่าเป็นดอกบัวชนิดพิเศษที่บานเพียงปีละครั้งเท่านั้นในเวลากลางคืน จึงสมควรทำเป็นกระทงประดับโคมแล้วลอยเพื่อสักการะรอยพระพุทธบาท เมื่อพระร่วงเห็นจึงทรงซักถามถึงความหมาย ซึ่งพระนางก็ทรงอธิบายให้ฟังอย่างพอใจ พระองค์ตรัสว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระมหากษัตริย์สยาม เมื่อถึงเวลากำหนดวันหยุดประจำชาติ คือ วันเพ็ญเดือนสิบสอง จักต้องลอยโคมเป็นรูปดอกบัวถวายแด่รอยพระพุทธบาทที่นัมมตันติ จนกว่าจะสิ้นกาล” ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นโคมลอยรูปดอกบัวปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบัน
คือ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา วันหนึ่ง นางสุชาดา อุบาสก ได้ให้คนรับใช้เอาข้าวมธุปายาส (ข้าวที่หุงด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำอ้อย) ใส่ถาดทองถวาย เมื่อเสวยเสร็จแล้ว พระองค์ก็ปฏิญาณว่า หากวันหนึ่งพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จะปล่อยถาดนั้นลอยทวนน้ำ ด้วยอานุภาพแห่งคำปฏิญาณและคุณความดีของตน ถาดจึงลอยขึ้นสู่สะดือทะเล แล้วจมลงถูกหางของนาคผู้พิทักษ์นรกกระแทกเข้า
นาคตื่นขึ้นและเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ประกาศเสียงดังว่าบัดนี้มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งในโลกแล้ว เทวดาและนาคราชทั้งหมดจึงไปสักการะพระพุทธเจ้า นาคราชขอให้พระพุทธเจ้าทิ้งรอยพระบาทไว้ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชราเพื่อให้ขึ้นมาสักการะ พระพุทธเจ้าก็ทำตามที่บอก และคนรับใช้ก็รายงานให้นางสุชาดาทราบ ทุกปีในวันนั้น นางสุชาดาจะนำของหอมและดอกไม้ใส่ถาดมาลอยน้ำเพื่อสักการะรอยพระพุทธบาท ต่อมาจึงกลายเป็นประเพณีลอยกระทงที่เราเห็นในปัจจุบันเทศกาล ลอยกระทง
สำหรับการประทับรอยพระพุทธบาท บ้างก็ว่า นาคราชได้นิมนต์พระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมในอาณาจักรนาค เมื่อพระองค์กำลังจะเสด็จกลับ พญานาคได้ขออนุสาวรีย์จากพระองค์เพื่อสักการะ พระพุทธเจ้าได้อธิษฐานประทับรอยพระบาทของพระองค์ลงบนชายหาดทรายของแม่น้ำนัมมถะ และพญานาคได้สักการะรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าแทนพระองค์ ต่อมาชาวพุทธได้ทราบเรื่องนี้และได้สักการะรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าต่อไปโดยนำเครื่องบูชาใส่ในกระทงแล้วลอยไปในน้ำ ส่วนงานลอยกระทงตรงกับวันเพ็ญเดือน 11 หรือวันออกพรรษา เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับโลกมนุษย์หลังจากประทับบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 3 เดือนเพื่อแสดงพระอภิธรรมแก่พระมารดานั้น เนื่องจากในวันนั้น เหล่าเทวดาและชาวพุทธจำนวนมากต่างมาต้อนรับพระองค์ด้วยเครื่องสักการะ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดสวรรค์และนรกให้ประชาชนได้ชมด้วยพระเดชานุภาพ ประชาชนจึงได้ลอยกระทงเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จกลับมาของพระพุทธเจ้า
ส่วนความเชื่อที่ว่าการลอยกระทงตามประทีปเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ว่ากันว่าเป็นเพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชที่ฝั่งแม่น้ำอโนมา พระองค์จึงทรงใช้ดาบตัดผมที่เกล้าผมออกแล้วลอยขึ้นไปในอากาศตามพระประสงค์ พระอินทร์จึงได้นำภาชนะแก้วมาใส่ประดิษฐานไว้ในเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามประทีป หมายถึง การจุดประทีป หรือ การจุดไฟในประทีป/โคมจุดไฟ หรือ ถ้วยดินเผาขนาดเล็ก) ทางภาคเหนือของเรามักจะมีการปล่อยโคมลอยหรือที่เรียกว่าว่าวไฟขึ้นสู่อากาศเพื่อบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี